เข็มทิศชีวิต รายได้ 90 ล้านต่อปี สถานที่ภาวนาหรูหราอลังการ จากคู่กรณี "หลวงพ่อปราโมทย์" ล้นด้วย"พยาบาทวิตก" สู่ผลกรรม ที่ต้องถูกขุดคุ้ย(มีคลิป)
เป็นกระแสในโซเซียลเรียกว่า ร้อนดุเดือนกันเลยทีเดียว สำหรับกรณี ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต เป็นกระแสวิพากษ์วิจารณืกันอย่างมาก ในเรื่องของการเข้าคอร์สเรียนธรรมะ โดยค่าเรียนเริ่มต้ที่ 25,000 บาท บางคนเสียค่าเรียนเป็นแสน ทำไมเรียนธรรมะ ถึงต้องเสียเงินเรียนมากขนาดนี้ โดยชาวเน็ตได้นำมาเปรียบเทียบกับกรณีของธรรมกาย ทำให้ประเด็นของคอร์สธรรมะครูอ้อยนี้เป็นประเด็นที่หลายคนจับตามองมาก รวมถึงประเด็นที่เคยมีข้อพิพาทกับพระปราโมทย์ ทำเอาหลายคนเริ่มสงสัยของที่มาในการเปิดคอร์สธรรมะนี้ว่า จริงๆแล้ว เป็นการสอนธรรมะหรือป้อนยาพิษให้คนกันแน่
ครูอ้อย ฐิตินาถ เป็นนักธุรกิจด้านอบรมเรื่องจิตวิญญาณที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนตกเดือนละเกือบ หนึ่งล้านบาทในแง่นี้ ลัทธิ "เข็มทิศชีวิต" ไม่ค่อยต่างจากลัทธิธรรมกายในแง่ที่คนมีเงินเต็มใจจ่ายเงินจำนวนไม่น้อยไป "ซื้อ" ความสุขความสงบของจิตใจที่ลัทธิใหม่นี้ "บริการให้" ... มันไม่ใช่เรื่องผิด มันแค่แสดงว่าในยุคนี้ ธุรกิจทางจิตวิญญาณอู้ฟู่กว่าธุรกิจเก่าอื่นๆที่รอวันล่มสลาย หรือเป็นเพราะธุรกิจเก่าต่างๆกำกลังล่มสลาย คนพวกนี้จึงต้องหันมาใช้บริการ ลัทธิเข็มทิศชีวิตหรือลัทธิธรรมกายก็เป็นได้
คำนวนรายได้ของกลุ่มบริษัทเข็มเข็มทิศสัมมานา
คอร์ส NLP 2 วัน ราคา [25,000 บาท/คน] x [นักเรียนขั้นต่ำ 200 คน/ครั้ง] x [1 เดือน เปิด 2 ครั้ง] x 12 เดือน = รายรับ 120,000,000 บาท (อ่านว่า หนึ่งร้อยยี่สิบล้านบาท)
รายจ่ายในการอบรมหลักๆ จะมีแค่ค่าจัดการสถานที่ ประมาณ [1,200,0000 บาท/ครั้ง] x [1 เดือน เปิด 2 ครั้ง] x 12 เดือน = รายจ่าย 28,800,000 บาท (ไม่ถึง 1/4)
# กำไรสุทธิจากการจัดคอร์สสัมมานาของครูอ้อยNLP (120,000,0000 - 28,800,000) = ประมาณ 90 ล้านบาท/ปี
เข็มทิศภาวนา รายจ่ายชั้นดีของกลุ่มบริษัทเข็มทิศ NLP สัมมานา
ทุกๆ 3-4 เดือน จะมีการจัดหลักสูตรปฏิบัติธรรมฟรีขึ้นสำหรับนักเรียนเข็มทิศ NLP โดยเฉพาะ โดยจะมีนักเรียนเข้าปฏิบัติธรรมประมาณ 500-800 คน/ ครั้ง รายจ่ายประมาณ 3-4 พัน/ คน ทำให้ได้ใบเสร็จจากโรงแรมมูลค่า 2-4 ล้านบาท x 4 ครั้ง = 8-16 ล้านบาท ไปหักลบจากรายได้ของเข็มทิศสัมมานาของครูอ้อย ถ้ามองกันตามความจริง เท่ากับว่า เข็มทิศภาวนา คือ กิจกรรมที่ไม่มีรายจ่าย แต่ในการจัดหลักสูตรปฏิบัติธรรมฟรีแต่ละครั้ง จะมี "เจ้าภาพ" โดยเจ้าภาพแต่ละรายจะต้องบริจากเงินขั้นต่ำจำนวน 100,0000 บาท/เจ้า และในการภาวนาแต่ละครั้ง จะมีจำนวนเจ้าภาพมากมาย ซึ่งภาวนาครั้งล่าสุดมีจำนวนเจ้าภาพมากถึง 70 เจ้า รวมมูลค่าเงินทำบุญกว่า 7,000,0000 บาท หักนับการภาวนาตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน จนถึงครั้งล่าสุด มูลค่าเงินทำบุญจะต้องไม่ต่ำว่า 100,000,000 ล้านบาท (อ่านว่า หนึ่งร้อยล้านบาท) อย่างแน่นอน
เนื่องด้วยไม่ได้เปิดเป็นมูลนิธิอย่างถูกกฎหมาย ที่มาที่ไปจะไม่ชัดเจน โดยจะถูกบริหารจัดการโดยกลุ่มนักเรียนใกล้ชิดและมีการโยกย้ายถ่ายเทอย่างชาญฉลาดโดยปราศจากการตรวจสอบใดๆ นอกจากนั้น ยังมีทริปไปแสวงบุญอินเดีย ปีละ 2 ครั้ง โดยจะเหมาเครื่องบินไป 2 ลำ โดยแจ้งให้บรรดานักเรียนเข้าใจว่าเป็นทริปที่จัดกันเอง ไม่มีบิล ไม่มีกำไร / ซึ่งแน่นอนว่ารายจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินและใบเสร็จต่างๆ ที่ได้รับ ครั้งละประมาณกว่า 10 ล้าน ก็สามารถนำไปหักรายจ่ายของกลุ่มบริษัทเข็มทิศสัมมานาได้ทั้งหมด
ใบอนุโมทนาบัตรเพื่อการลดหย่อนภาษีของกลุ่มบริษัทเข็มทิศสัมมานา ในแต่ละปี จะมีกิจกรรมงานบุญที่ดำริโดยครูอ.เยอะมาก ทั้งผ้าป่า กฐิน ซ่อม-สร้างวัดวาอารามต่างๆ ซึ่งแต่ละครั้งเงินทำบุญไม่เคยต่ำกว่า 10 ล้านบาท ทุกครั้งที่มีการทำบุญ เจ้าหน้าที่ของบริษัทเข็มทิศจะขอใบอนุโมทนาบัตรในนามกลุ่มบริษัทเข็มพิษสัมมานาด้วยทุกครั้ง ซึ่งทราบกันดีว่าใบอนุโมทนาบัตรจากวัดต่างๆ สามารถนำมาลดค่าภาษีได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย
นอกจากนี้บริษัทในกลุ่มเข็มทิศ ซึ่งมีบริษัทย่อยๆ รวม 7-8 บริษัท ได้ผลออกมาเป็น 8 บริษัทดังนี้
1) บริษัท เข็มทิศชีวิต
ธุรกิจการพิมพ์อื่นๆซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น
ปี 2559 รายได้ 8.8 ล้านบาท กำไรสุทธิ 5.0 ล้านบาท
2) บริษัท เข็มทิศทีวี
ธุรกิจการจัดการประชุม
ปี 2559 รายได้ 15,673 บาท ขาดทุนสุทธิ 71,921 บาท
3) บริษัท เข็มทิศ ปัญญา
ธุรกิจการจัดการประชุม
ไม่มีรายงานงบการเงิน
4) บริษัท เข็มทิศ เอ็น แอล พี
ธุรกิจการจัดการประชุม
ปี 2558 รายได้ 54.3 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.7 ล้านบาท
5) บริษัท เข็มทิศ จิตใต้สำนึก
ธุรกิจการจัดการประชุม
ปี 2559 รายได้ 23.6 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1.8 ล้านบาท
6) บริษัท เข็มทิศความสุข
ธุรกิจการจัดการประชุม
ปี 2558 รายได้ 4.9 ล้านบาท กำไรสุทธิ 2.0 ล้านบาท
7) บริษัท เข็มทิศวิลเลจก่อสร้าง
ธุรกิจการก่อสร้างอาคารที่ไม่ใช่ที่พักอาศัย
ปี 2559 รายได้ 8,394 บาท ขาดทุนสุทธิ 27,686 บาท
8) บริษัท เข็มทิศธุรกิจ
ธุรกิจการจัดการประชุม
ปี 2559 รายได้ 9,280 บาท ขาดทุนสุทธิ 34,189 บาท
ถ้ารวมรายได้ทั้งหมดเข้าด้วยกันจะได้รายได้ 91.6 ล้านบาทต่อปี และกำไรสุทธิ 10.5 ล้านบาทต่อปี
ขณะที่ลัทธิธรรมกาย เอารูปแบบศาสนาพุทธมาครอบลัทธิวัตถุนิยมที่เป็นตัวตนที่แท้
กลุ่มความเชื่อ "เข็มทิศชีวิต" ของอ้อย ฐิตินาถ แค่เอา Pop Culture กับความปรารถนาความสำเร็จของคนรุานใหม่มาเจอกับการฝึกจิตเท่านั้น มันไม่ผิดหรอก แต่มันไม่ใช่ สัมมาแบบนี้แค่สะท้อนตัวตนที่แท้จริงของอ้อย ฐิตินาถเท่านั้นที่เป็น Spiritual Matetialism
สำหรับ "ครูอ้อย" ฐิตินาถ ณ พัทลุง เจ้าของหนังสือธรรมะขายดีตีพิมพ์สิบๆครั้ง "เข็มทิศชีวิต" ซึ่งกลับมาอยู่ในกระแสสังคมอีกครั้งหนึ่ง กลับธุรกิจทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ "จัดสัมมนาปรึกษาปัญหาชีวิต" โดยมี คอร์สค่าเรียนของครูอ้อย ราคาเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 45,000 บาท เวลาเรียนเริ่มต้นที่ 2-7 วันขึ้นไป อาทิ คอร์ส "อำนาจแห่งการคิดดี (The Power of good thoughts)" ซึ่งจัดขึ้นครั้งละ 2 วัน ราคา 25,000 รับ 100 คน (ส่วนใหญ่รับครั้งละไม่ต่ำกว่า 50 คน) คิดเป็นเงิน 2.5 ล้านบาท!!
และการกลับมาที่ฉาวโฉครั้งนี้เป้นผลจากการที่ครูอ้อยได้โปรโมทผลงาน โฆษณาด้วยการนำภาพดารา นักธุรกิจ ผู้มีชื่อเสียงต่างๆ ที่เคยร่วมคอร์สจำนวนมาก หนึ่งในดาราดังมี "เอ๋-มณีรัตน์ คำอ้วน" และ ได้ออกมาโพสต์ชี้แจง ภาพกังกล่าวที่ร่วมมคอร์สห้องเรียนเข็มทิศชีวิตนั้นเป็นภาพเก่าเมื่อ 3 ปีและก้ไม่ได้ไปคอร์สอีกแล้ว เพราะแนวทางไม่ตรงกัน ก่อนที่ถูกนำมาใช้โปรโมทจนถึงปัจจุบัน ตามด้วย อุ๋ย บุดด้า เบลส และครูเงาะ-รสสุคนธ์ กองเกตุ ครูสอนนักแสดง ก็ออกมาชี้แจงกรณีมีภาพตนเองถูกนำไปอ้างขายคอร์สห้องเรียนเข็มทิศชีวิตด้วยเช่นกัน
ครูอ้อยได้ใช้คำสั่งของทางหลักพระพุทธศาสนาต่างๆ ทั้งการบรรยายธรรม การสอนนั่งสมาธิ เป็นนักปฏิบัติธรรมและตั้งตัวเป็นกูรูในการทำให้ชีวิตมีความสุข สำเร็จ แต่ก็หาเข้าใจถึงแกนที่แท้จริงของพระพุทธศานา ??
ซึ่งก่อนหน้านี้เข็มทิศครูอ้อย ก็หลงทิศหลงทางตกเป็นข่าวครึกโครม เมื่อประมาณ7ปีที่แล้ว ครูอ้อยได้มีโอกาสเข้าเป็นลูกศิษย์ของพระนักปฏิบัติรูปหนึ่ง ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดี คือพระอาจารย์ปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม จ.ชลบุรี แต่ปรากฎว่าหลังจากนั้นไม่นานก็กลายเป็นมีข่าวฉาวโฉด้วยการที่เธอไปกล่าวหาพระปราโมทย์ถึงกับไปร้องเรียนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
จากกรณีพระปราโมทย์ ปราโมชโช เจ้าสำนักสวนสันติธรรม ถูกน.ส.ฐิตินาถ และคณะที่มีนายเทิดศักดิ์ เตชะกิจขจร อาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นายวีรณัฐ โรจนประภา เจ้าของนิตยสารบางกอก และประธานมูลนิธิ บ้านอารีย์ กล่าวหาว่า "มีพฤติกรรมยักยอกเงินบริจาค และที่ดิน อวดอุตริมนุสธรรม และความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับแม่ชีอรนุช อดีตภรรยา"
พระปราโมทย์ เดิมมีภรรยาที่สมรสตามกฎหมายคือ นางอรนุช สันตยากร ภายหลังนางอรนุชได้ปลงผมมาปฏิบัติธรรมอยู่ที่สวนสันติธรรมด้วย แต่ยังไม่ได้หย่าขาดจากกัน เป็นเหตุที่ทำให้เกิดคำถามอยู่ในคำฟ้องร้องของ น.ส.ฐิตินาถ ถึงข้อสงสัยในการยักย้ายถ่ายเทเงินบริจาคซื้อที่ดินสำนักสงฆ์เข้าบัญชีอดีตภรรยาจนเป็นเรื่องราว ถึงขนาดยื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ให้ตรวจสอบพฤติการณ์ของ พระปราโมทย์
ฝ่ายผู้กล่าวหา คงจะชำนาญเรื่องการประชาสัมพันธ์สร้างข่าวไม่น้อย จึงเลือกใช้วิธี อ่อยเหยื่อ ค่อยๆ เปิดประเด็นข้อกล่าวหาทีละประเด็น เพื่อหลอกล่อให้ติดตาม โดยมีเครื่องเคียงเรียกร้องความสนใจประเภท "ทีเด็ด" เทปลับ "คลิบเสียง" และ จดหมายน้อยถึงลูกรัก 2 ฉบับ
ตลอดระยะเวลาเกือบเดือน ที่ฝ่ายนางสาวฐิตินาถ กับพวก เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกอยู่ข้างเดียว โดยพระปราโมทย์ ถือคติ "พระไม่ตีกับโยม" ไม่ตอบโต้ แต่ชี้แจงเท่าที่จำเป็น ปรากฏว่า ฝ่ายพระปราโมทย์ ชี้แจงได้ทุกข้อกล่าวหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เงินบริจาค ที่ทำไมต้องโอนให้นางอรนุช อดีตภรรยา ซึ่งมาบวชชีอยู่ในสำนักสวนสันติธรรม เป็นผู้ดูแล ทำไมต้องโอนที่ดินให้ภรรยา รายละเอียดเกี่ยวกับ บัญชีรายรับรายจ่าย สถานะของสวนสันติธรรม ฯลฯ
รวมทั้ง ความสัมพันธ์กับอดีตภรรยา ที่ฝ่ายที่กล่าวหาให้ข้อมูลว่า มีกุฎิอยู่ใกล้กัน หน้าต่างตรงกัน มองเห็นกันได้โดยไม่มีสิ่งใดๆขวางกั้น ซึ่งจากการเข้าไปตรวจสอบ ชี้ชัดว่าข้อกล่าวหาเรื่องนี้เป็นเท็จ เพราะกุฎิของพระปราโมทย์กับอุบาสิกาอรนุช อยู่ห่างกันประมาณ 120 เมตร มีถนนคอนกรีต มีต้นไม้กั้น ไม่สามารถมองเห็นกันได้ ทั้งยังมีกุฎิของพระอุปัฏฐาก อยู่ใกล้กุฎิพระปราโมทย์ เพื่อคอยดูแล ซึ่งการวางผังที่ตั้งกุฏินี้ น.ส.ฐิตินาถ เป็นผู้กำหนดแบบไว้ตั้งแต่ก่อสร้าง และยังขอให้มีการสลับกุฏิกับพระอุปัฏฐาก เพื่อความปลอดภัยของพระปราโมทย์ นอกจากนี้กุฏิของพระปราโมทย์ และอุบาสิกาอรนุช ยังอยู่ในระยะไม่ไกลจากบ้าน อนาลโย ของ น.ส.ฐิตินาถ ก่อนที่จะมีการสร้างรั้วคอนกรีตกั้นในภายหลัง
ไม่เพียงแต่คำชี้แจงของลูกศิษย์พระปราโมทย์เท่านั้น แต่บรรดาข้อกล่าวหาต่างๆของ น.ส. ฐิตินาถ และพวก ที่ยื่นเป็นหนังสือให้ สำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทำการสอบสวน นั้น ล้วนได้รับการรับรองยืนยันจากสองหน่วยงานว่า ไม่พบความผิดปกติ โดยนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ รอง ผอ.สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.)ในขณะนั้น กล่าวว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัด ชลบุรีว่าผลการตรวจสอบเรื่องของที่ดิน และเงินของสำนักสวนสันติธรรมไม่มีปัญหา เนื่องจากทางสำนักสวนสันติธรรม ได้มีการชี้แจงรายละเอียดอย่างชัดเจนว่านำเงินไปทำอะไรบ้าง ส่วนเรื่องของที่ดินที่ขอตั้งวัดก็ได้ดำเนินการอย่างถูกต้องจากนั้นเรื่องราวดังกล่าวก็ค่อยๆเงียบหายไป
ซึ่งการถูกขุดคุ้ยในเรื่องเข็มทิศชีวิต ทั้งเรื่องรายได้ เรื่องวิธีการสอน และชื่อเสียงที่เสียหาย อาจเป็นผลมาจาก ผลกรรมที่ได้ทำไว้ก็เป็นได้
Cr: กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
เว็บสำนักงานพุทธศาสนาแห่งชาติ
สมาชิก Pantip หมายเลข 36435102
Facebook Suvinai Pornavalai
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น